สมุนไพรไทยนี้มีค่ามาก
พระเจ้าอยู่หัวทรงฝากให้รักษา
แต่ปู่ ย่า ตา ยาย ใช้กันมา
ควรลูกหลานรู้รักษาใช้สืบไป
เป็นเอกลักษณ์ของชาติควรศึกษา
วิจัยยาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมัย
รู้ประโยชน์รู้คุณโทษสมุนไพร
เพื่อคนไทยอยู่รอดตลอดกาล
พระราชนิพนธ์สมเด็จพระเทพรัตนสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
จากบทประพันธ์ดังกล่าวได้กล่าวไว้ว่าสมุนไพรนั้นอยู่คู่คนไทยมานับพันปี แต่เมื่อการแพทย์แผนปัจจุบันเริ่มเข้ามามีบทบาทในบ้านเรา สรรพคุณและคุณค่าของสมุนไพรอันเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าภูมิปัญญาโบราณก็เริ่มถูกบดบังไปเรื่อยๆ และถูกทอดทิ้งไปในที่สุด ความจริงคนส่วนใหญ่ก็พอรู้ๆกันว่า สมุนไพรไทยเป็นสิ่งที่มีคุณค่าใช้ประโยชน์ได้จริง และใช้ได้อย่างกว้างขวาง แต่เป็นเพราะว่าเราใช้วิธีรักษาโรคแผนใหม่มานานมากจนวิชาแพทย์แผนโบราณที่มีสมุนไพรเป็นยาหลักถูกลืมจนต่อไม่ติด และสมุนไพรนั้นควรจะได้รับการศึกษา สืบสอดต่อไปเพื่อให้คนยุคต่อๆไปไม่ลืมเลือนไป
สมุนไพร หมายถึง พืชที่มีสรรพคุณในการรักษาโรค หรืออาการเจ็บป่วยต่างๆ การใช้สมุนไพรสำหรับรักษาโรค หรืออาการเจ็บป่วยต่างๆ นี้ จะต้องนำเอาสมุนไพรตั้งแต่สองชนิดขึ้นไปมาผสมรวมกันซึ่งจะเรียกว่ายา ในตำรับยานอกจากพืชสมุนไพรแล้วยังอาจประกอบด้วยสัตว์ และแร่ธาตุอีกด้วย เราเรียกพืช สัตว์ หรือแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบของยานี้ว่า เภสัชวัตถุ พืชสมุนไพรบางชนิด เช่น กานพูล เป็นต้น พืชเหล่านี้ถ้านำมาปรุงอาหารเราจะเรียกว่าเครื่องเทศ
คำว่าสมุนไพรตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึง พืชที่ใช้ทำเป็นเครื่องยา สมุนไพรกำเนิดมาจากธรรมชาติ และมีความหมายต่อชีวิตมนุษย์โดยเฉพาะในทางสุขภาพ อันหมายถึงทั้งการส่งเสริมสุขภาพ และการรักษาโรค ความหมายของยาสมุนไพรในพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 ได้ระบุว่า ยาสมุนไพร หมายความว่ายาที่ได้จากพฤกษาชาติสัตว์ หรือแร่ธาตุซึ่งมิได้ผสมปรุง หรือแปรสภาพ เช่น พืชก็ยังเป็นส่วนของราก ลำต้น ใบ ดอก ผล ฯลฯ ซึ่งมิได้ผ่านขั้นตอนการแปรรูปใดๆ แต่ในทางการค้าสมุนไพรมักจะถูกดัดแปลงในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ถูกหั่นให้เป็นชิ้นเล็กลง บดเป็นผงละเอียด หรืออัดเป็นแท่ง แต่ในความรู้สึกของคนทั่วไปเมื่อกล่าวถึงสมุนไพรมักนึกถึงเฉพาะต้นไม้ที่นำมาใช้เป็นยาเท่านั้น
และในส่วนต่อไปนี้ก็จะได้นำเรื่องราวของบทความที่ให้ความรู้เพิ่มเติมต่อไป เพื่อเป็นส่วยขยายความรู้ในเรื่องของสมุนไพร
ข้อมูลทั่วไปของสมุนไพร
สำหรับการแพทย์ดั้งเดิมของสังคมไทยมีพัฒนาการนับเนื่องจากอดีตสู่ปัจจุบัน ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ในยุคประวัติศาสตร์สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา และสมัยรัตนโกสินทร์มีประสบการณ์ใช้ยาสมุนไพรที่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในยุครัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 3 มีการรวบรวมตำราสมุนไพรในการรักษาเด็กและผู้ใหญ่ วิธีปรุงยาและวิธีใช้ยาสมุนไพรอย่างละเอียด และจารึกในแผ่นศิลาตามศาลารายของวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) สมุนไพรที่จารึกมีจำนวนกว่า 1,000 ชนิด และรัชกาลที่ 5 ทรงฟื้นฟู รวบรวมและชำระตรวจสอบคำภีร์แพทย์ และมีการจัดพิมพ์ตำราชื่อ ตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ (ฉบับหลวง) ขึ้นเพื่อใช้ในการศึกษา และบำบัดโรคสำหรับแผนโบราณขึ้น ในระยะเดียวกันการแพทย์แบบตะวันตกได้เข้าสู่สังคมไทย และได้รับการส่งเสริมจากรัฐมากขึ้นทำให้ประชาชนยอมรับ และนิยมการแพทย์แบบตะวันตกในระยะต่อมา อย่างไรก็ตามความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อสมุนไพรมิได้ถูกละทิ้งประสบการณ์การใช้สมุนไพรได้รับการเรียนรู้ และการถ่ายทอดจากคนรุ่นก่อนสู่คนรุ่นต่อมา วัฒนธรรมการรักษาโรคความเจ็บป่วยด้วยสมุนไพรยังดำรงอยู่ในสังคมไทยจนถึงปัจจุบัน และสมุนไพรในการพัฒนาสังคมไทยในหลายมิติ คือ
1.คุณค่าด้านการแพทย์และสาธารณสุข ความหมายของสมุนไพรในพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2522 คือ สมุนไพร หมายถึงยาที่ได้จากพฤกษชาติ สัตว์ และแร่ธาตุ ซึ่งมิได้ปรุง และแปรสภาพสมุนไพร เป็นสิ่งที่ประชาชนใช้ประโยชน์ด้านการแพทย์ และสาธรณสุขประชาชนไทยบริโภคสมุนไพรใน 3 รูปแบบคือ สมุนไพรจากแหล่งธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์สมุนไพรสำเร็จรูปและยาแผนโบราณ ใน พ.ศ. 2529 สำนักงานสถิติแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรีได้สำรวจเกี่ยวกับสวัสดิการอนามัยและการใช้ยาแผนโบราณ พบว่าประชากรไทยใช้ยาแผนโบราณ หรือสมุนไพรไทยในการบำบัดรักษาโรค ยาสมุนไพร และยาแผนโบราณเหล่านี้ประชากรคุ้นเคย เชื่อถือ และนิยมในสรรพคุณการรักษาโรค ยาแผนโบราณที่ประชาชนนิยมใช้กันคือ ยาหอม ยานัตถุ์ ยาบำรุงโลหิต ยาระบาย ยาแก้ร้อนใน และยาแก้ไอ นับได้ว่าประชาชนไทยจำนวนไม้น้อยยังมีการใช้สมุนไพรเพื่อสุขภาพและการแก้ไขปัญหาสาธารณสุข
2.คุณค่าด้านเศรษฐกิจ สมุนไพรเป็นทรัพยากรที่สำคัญของประเทศ และมีฐานะเป็นวัตถุดิบพื้นบ้านของอุตสาหกรรมยาแผนโบราณ แหล่งผลิตยาแผนโบราณที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกระทรวงสาธารณสุขมีจำนวนมาก ตำรายาแผนโบราณเหล่านี้ใช้สมุนไพรกว่า 1,000 ชนิด โดยผลิตในหลายรูปแบบ เช่น ยาเม็ด ยากวน ยาแผ่น เป็นต้น กรรมวิธีผลิตยาแผนโบราณทำตามวิธีการที่สืบทอดกันมา อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมยาแผนโบราณมีอุปสรรคสำคัญคือ อุปสรรคด้านกฎหมายที่ปิดกั้นการพัฒนายาแผนโบราณและปัญหาด้านวัตถุดิบสมุนไพร เนื่องจากพื้นที่ป่าธรรมชาติถูกทำลายและลดลง อีกทั้งการปลูกสมุนไพรยังไม่กว้างขวาง จึงทำให้วัตถุดิบบางชนิดหายาก ขาดแคลน หรือบางชนิดต้องนำเข้าจากต่างประเทศ มูลค่าการบริโภคยาแผนโบราณของประชาชนมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังมีองค์กรภาครัฐ และภาคเอกชน ได้นำงานวิจัยสมุนไพรเดี่ยวมาพัฒนาเทคโนโลยีในระดับอุสาหกรรมการผลิตยาจากสมุนไพรภายในประเทศด้วย ในรูปแบบที่ทันสมัยต่างๆ อุตสาหกรมยาจากสมุนไพรเหล่านี้อาศัยวัตถุดิบสมุนไพร และเทคโนโลยีภายในประเทศ อันเป็นการพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรมยา และพึ่งตนเองได้อย่างแท้จริง
3.คุณค่าด้านนิเวศวิทยา ระบบนิเวศของโลกที่สลับซับซ้อนประกอบด้วยพรรณพืชที่มีหลากหลาย พรรณพืชเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำหรับยารักษาโรค สีย้อม น้ำหอม เครื่องปรุงรสและแต่งสีสมุนไพรเหล่านี้มีคุณค่าต่อเศรษฐกิจและสังคมสามในสี่ของประชากรโลกยังคงใช้พืชสมุนไพรจากป่าธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนา
4.คุณค่าด้านการเกษตรกรรม ภาวะปัจจุบันการเกษตรแบบอุตสาหกรรม ซึ่งใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงจำนวนมาก สร้างปัญหาต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของผู้บริโภคอย่างมาก วงการเกษตรกรรมของสังคมไทยต้องการทางออกเพื่อการแก้ปัญหาเหล่านี้ สมุนไพรส่วนหนึ่งมีสรรพคุณในการช่วยกำจัดแมลงที่เป็นศัตรูพืชและช่วยรักษาโรคของพืชได้ ดังนั้นสมุนไพรจึงมีคุณค่าต่อด้านเกษตรกรรมและต่อผู้บริโภคโดยตรง เพราะผลผลิตที่ได้จะปราศจากพิษภัยจากสารเคมีทำให้ปลอดภัยต่อผู้บริโภค พืชสมุนไพรที่ใช้ทดแทนสารเคมีที่ใช้ยาฆ่าแมลง เช่น สะเดา ตะไคร้หอม ข่า ดาวเรือง เป็นต้น
5.คุณค่าแห่งภูมิปัญญา และวัฒนธรรม การใช้สมุนไพรแก้ปัญหาความเจ็บไข้ได้ป่วยที่นับเป็นภูมิปัญญาอันทรงคุณค่าที่บรรพบุรุษได้ลองผิดลองถูกค้นคว้าวิจัยตามธรรมชาติเหนือสิ่งอื่นใด บรรพบุรุษได้ใช้ชีวิตเลือดเนื้อแทนห้องปฎิบัติการ จนกระทั่งสั่งสมเป็นองค์ความรู้สืบทอดให้ลูกหลานได้ใช้ประโยชน์มาจนถึงปัจจุบัน องค์ความรู้เหล่านี้มีทั้งส่วนที่มิได้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรและบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ได้แก่ ตำราใบลาน สมุดข่อย จารึก การบันทึก ในรูปแบบจิตรกรรมฝาผนังหรือหลักฐานทางประวัติศาสตร์อื่นๆ เหล่านี้ล้วนแสดงถึงภูมิปัญญาอันชาญฉลาดที่มุ่งแก้ไขโรคภัยไข้เจ็บ โดยมิได้ลืมการสั่งสอนอบรมให้ตั้งต้นอยู่ในความดีความงามตามแนวทางของพระพุทธศาสนาอันเป็นวัฒนธรรมประจำชาติ
สมุนไพรนับว่าเป็นความมหัศจรรย์ของธรรมชาติอย่างแท้จริง สมุนไพรก่อเกิดตามธรรมชาติ และพัฒนาคู่เคียงกับการแสวงหาทางออกในด้านสุขภาพของมนุษย์ สมุนไพรมีความหมาย และทรงคุณค่าหลายมิติแตกต่างกันไปตามยุคสมัยของสังคมโลก และสังคมไทย แม้โลกยุคใหม่จุพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ยาแผนใหม่จากสารเคมีหลายชนิดได้เข้ามาแทนที่สมุนไพรมิใช่ว่าจะทดแทนคุณค่าของสมุนไพรที่มีอยู่ได้ดีคุณค่าของสมุนไพรกำลังได้รับความสำคัญ และพัฒนาให้เป็นระบบครบวงจร อันทำให้สมุนไพรมีคุณค่าในการพัฒนาสังคมไทยได้หลายมิติ และอย่างยั่งยืนในอนาคต
สรรพคุณของสมุนไพร
พืชสมุนไพรที่ใช้ในการทำยานั้นใช้ได้ทุกส่วนของพืชสมุนไพร ซึ่งส่วนต่างๆของพืชสมุนไพรที่ใช้ในการทำยาได้แก่ ดอก ผล ใบ ลำต้น และราก แต่ทั้งนี้ส่วนต่างๆของสมุนไพรที่นำมาทำยาก็มีลักษณะและสรรพคุณที่แตกต่างกันด้วย เพราะฉะนั้นการนำส่วนต่างๆของสมุนไพรมาทำยาจึงต้องเลือกให้เหมาะกับโรคและการรักษาอาการป่วยนั้นๆ
ดอกสมุนไพร สมุนไพรบางชนิดมีสรรพคุณทางยาอยู่มากที่ดอก จึงได้มีการนำดอกของสมุนไพรนั้นๆมาใช้ในการทำยา ดอกของสมุนไพรแต่ละชนิดนั้นมีความแตกต่างกันออกไป อีกทั้งสรรพคุณในการรักษาก็แตกต่างกันไปด้วย การนำดอกสมุนไพรมาทำยานั้น ดอกที่สมบรูณ์ที่สามารถนำมาใช้ในการทำยาได้นั้นจะต้องมีองค์ประกอบของดอกครบ อันได้แก่ ก้านดอก กลีบดอก กลีบรอง เกสรตัวผู้ เกสรตัวเมีย และการเก็บดอกสมุนไพรมาทำยานั้นจะนิยมเก็บในช่วงที่ดอกเริ่มบาน หรือโรคบางชนิดก็ต้องใช้ดอกสมุนไพรที่อยู่ในช่วงดอกตูม ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับโรคที่จะทำการรักษา
ผลของสมุนไพร ผลของสมุนไพรบางชนิดสามารถนำมาใช้ทำยาได้ และมีสรรพคุณทางยาที่แตกต่างกันออกไปตามชนิดของพืชสมุนไพรนั้นๆ ผลของต้นสมุนไพรบางต้นมีสรรพคุณทางยาสูง แต่ผลของต้นสมุนไพรบางต้นมีสรรพคุณทางยาน้อย ดังนั้นการเลือกผลของสมุนไพรมาใช้ในการทำยาจึงต้องขึ้นอยู่กับอาการของโรคที่จะทำการรักษาด้วย ผลของต้นสมุนไพรที่นำมาใช้ทำยา ได้แก่ ผลเดี่ยว เช่น มะระมะม่วง เป็นต้น ผลกลุ่ม เช่น จำปี การเวก เป็นต้น ผลรวม เช่น ขนุน ลูกยอ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการแบ่งลักษณะของผลที่จะนำมาใช้ทำยาลงไปอีก 3 ลักษณะ ได้แก่ ผลเนื้อ ผลแห้งชนิดแตก และผลแห้งชนิดไม่แตก ผลของพืชสมุนไพรที่เก็บมาทำยานั้นอาจจะแตกต่างกันออกไปตามโรค บางโรคควรใช้ผลของพืชสมุนไพรที่ยังไม่แก่ บางโรคควรใช้ผลของพืชสมุนไพรที่แก่เต็มที่ เป็นต้น
ใบสมุนไพร ยาสมุนไพส่วนใหญ่จะใช้ใบของพืชสมุนไพรมาทำยา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าใบสมุนไพรจะมีสรรพคุณทางยามากกว่าส่วนอื่นๆของต้นพืชสมุนไพร แต่การนำใบของพืชสมุนไพรมาทำยานั้นจะขึ้นอยู่กับสรรพคุณในการรักษาโรคนั้นๆด้วย ว่าเหมาะจะใช้ส่วนใดของพืชสมุนไพรในการรักษา แต่โดยทั่วไปแล้วใบพืชทุกชนิดจะเป็นแหล่งสะสมของสารอาหาร เนื่องจากพวกมันใช้ใบในการสังเคราะห์แสง หายใจ แลกเปลี่ยนแก๊ส และคายน้ำ ในการนำใบสมุนไพรมาทำยานั้นมักจะนิยมเก็บใบสมุนไพรที่เจริญเติบโตเต็มที่ หรือในการรักษาโรคบางชนิดอาจจะต้องใช้ใบอ่อนของสมุนไพรหรือใบที่ไม่แก่มากจนเกินไป และจะเก็บใบสมุนไพรในช่วงที่ดอกของสมุนไพรบาน เพราะเชื่อว่าช่วงเวลานี้ใบของสมุนไพรจะมีสรรพคุณทางยามากที่สุด ใบสมุนไพรที่นำมาใช้ทำยาสมุนไพรนั้นจะต้องมีส่วนประกอบของตัวใบ ก้านใบ และหูใบ และใบของต้นสมุนไพรที่มักนำมาใช้ทำยาได้แก่ ใบยอ การพลูใบขลู่ เป็นต้น
ลำต้นสมุนไพร ลำต้นของพืชทุกชนิดไม่เพียงแต่ลำต้นของพืชสมุนไพรจะทำหน้าที่ในการลำเลียงน้ำ ธาตุอาหารและสารต่างๆ ที่พืชสร้างขึ้นเพื่อนำไปเลี้ยงส่วนต่างๆของต้นพืชให้เจริญเติบโต ลำต้นของพืชสมุนไพรบางชนิดจะอยู่ใต้ดิน ซึ่งลำต้นที่อยู่ใต้ดินนั้นจะมีตา ข้อ ปล้อง และใบเกล็ดคลุมตา ได้แก่ ขิง ข่า เป็นต้น และลำต้นของพืชสมุนไพรยังสามารถแบ่งออกได้อีกหลายลักษณะที่นำมาใช้ในการทำยาสมุนไพร ได้แก่ ลำต้นของพืชสมุนไพรยืนต้น เป็นต้น ในการนำมาทำยานั้นส่วนใหญ่มักจะลอกเอาเปลือกบริเวณลำต้นมาใช้ในการทำยา หรือบางครั้งก็จำเป็นตัดเนื้อในส่วนที่อยู่ในลำต้นมาทำยา และนิยมเก็บเปลือกของลำต้นสมุนไพรมาทำยาในช่วงฤดูร้อนและฤดูฝน เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ลำต้นหรือเปลือกของลำต้นจะมีสรรพคุณทางยามากที่สุด
รากสมุนไพร รากของพืชสมุนไพรหรือรากของพืชทั่วไป โดยปกติแล้วมันจะทำหน้าที่ในการดูดซับน้ำ และแร่ธาตุๆจากดิน เพื่อส่งต่อไปยังส่วนต่างๆของต้นพืช และรากยังเป็นแหล่งสะสมของสารอาหารต่างๆ รวมทั้งมีสรรพคุณทางยาที่ดีสำหรับพืชสมุนไพรบางชนิด เช่น กระชาย ขมิ้น เป็นต้น รากของพืชที่นำมาทำยานั้นมี 2 ชนิด นั่นคือ รากแก้ว และรากฝอย ซึ่งรากของพืชสมุนไพรนิยมเก็บมาทำยาในช่วงต้นฤดูหนาวถึงปลายฤดูร้อน เนื่องจากในช่วงนี้รากของพืชสมุนไพรจะมีปริมาณตัวยาค่อนข้างสูง และทำให้การรักษาโรคด้วยรากพืชสมุนไพรมีประสิทธิภาพสูง
การเก็บรักษาสมุนไพร
ปัญหาอย่างหนึ่งของการใช้ยาสมุนไพรเป็นเวลานานก็คือ การเก็บรักษา เนื่องจากสมุนไพรมีกรรมวิธีแปรสภาพมาเป็นยาโดยการตากแห้ง การอบ การบด และทำเป็นลูกกลอน ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดเชื้อราและหนอนเป็นอย่างมาก เพราะสมุนไพรไทยต้องมีการเก็บรักษาในที่แห้งและไม่อับชื้นเพื่อคงคุณภาพของยาไว้ได้นาน ยาสมุนไพรไทยมักจะเกิดปัญหาในการเก็บรักษาอยู่บ่อยครั้ง หากเก็บรักษาไม่ได้อาจทำให้กลิ่นและสีของยาเปลี่ยนแปลงไป และที่สำคัญอาจทำให้คุณภาพของยาเสื่อมลงด้วย เมื่อนำยาสมุนไพรที่เสื่อมคุณภาพไปใช้ในการรักษาโรค ยาก็ไม่สามารถออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่ในการเก็บรักษาโรคหรือไม่ออกฤทธิ์ในการรักษาโรคเลย เนื่องจากตัวยาสมุนไพรได้หมดคุณภาพไปแล้วเพราะฉะนั้นการเก็บรักษายาสมุนไพรจึงต้องพิถีพิถันและระมัดระวังอย่างดี เพื่อคงคุณภาพของยาในการรักษาโรคเอาไว้ ซึ่งวิธีการในการเก็บรักษายาสมุนไพรเพื่อให้คงคุณภาพไว้ได้นาน ทำได้ดังนี้
1. ควรเก็บยาสมุนไพรไว้ในที่แห้งและเย็น และสถานที่เก็บยาสมุนไพรนั้นจะต้องมีอากาศถ่ายเทสะดวก เพื่อขับไล่ความอับชื้นที่อาจจะก่อให้เกิดเชื้อราในยาสมุนไพร
2. ยาสมุนไพรที่จะเก็บรักษานั้นจะต้องแห้งไม่เปียกชื้นเพราะจะเสี่ยงต่อการในยาสมุนไพรนั้นๆได้ หากมียาที่เสี่ยงต่อการขึ้นราได้ง่าย ควรจะนำยาสมุนไพรออกมาตากแดดอย่างสม่ำเสมอ
3. ในการเก็บรักษายาสมุนไพรควรแบ่งประเภทของยาต่างๆในการรักษาโรค เพื่อการหยิบใช้ที่สะดวกสบายและไม่เกิดการหยิบใช้ผิด
4. ควรตรวจดูความเรียบร้อยในการเก็บรักษายาสมุนไพรบ่อยๆ ว่ามีสัตว์หรือแมลงต่างๆเข้าไปทำความเสียหายกับยาสมุนไพรที่เก็บไว้หรือไม่